คลังเก็บหมวดหมู่: ทั่วไป

สร้าง Chatbot

หากคุณคิดจะทำ LINE Marketing แต่ไม่มีเวลามานั่งตอบแชทลูกค้าได้ตลอด 24 ชม. หรือกำลังอยากหา Admin เข้ามาช่วยตอบแชทลูกค้า เรามีตัวช่วยดีๆอย่าง Chatbot ที่จะช่วยตอบแชทลูกค้าให้เราได้ตลอด 24 ชม. เซฟทั้งเวลา เซฟทั้งลูกค้า

วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ “LINE Bot Designer” โปรแกรมที่จะช่วยให้เราสามารถออกแบบ Chatbot เป็นต้นแบบสำหรับการนำไปพัฒนาต่อเพื่อใช้งานจริงได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรม ซึ่งทำให้เราพอจะเห็นภาพว่าเมื่อมี Chatbot แล้วจะสามารถช่วยการทำ LINE Marketing ของเรายังไงบ้าง

***โปรแกรมนี้เป็นเพียงการออกแบบ prototype ของ LINE Bot เท่านั้น ซึ่งเหมาะสำหรับ Designer หรือ Content Creator ที่ต้องการใช้งาน LINE Bot Designer สร้างรหัส JSON ที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนา Chatbots จริงในภายหลัง

 

LINE Bot Designer ทำอะไรได้บ้าง?

“Bot Items” เครื่องมือสำหรับสร้างข้อความ Chatbot ทุกรูปแบบ

1.ออกแบบข้อความได้ 12 รูปแบบ พร้อมสร้างรหัส JSON ที่แสดงอยู่ชัดเจน ภายในโปรแกรม

2.ออกแบบ Rich Menu เครื่องมือที่เหมาะในการทำ Call to Action ที่มีความยืดหยุ่น สำหรับการประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย แต่โปรแกรมนี้สามารถทำได้เพียงวางภาพเพื่อให้เห็นหน้าตาของเมนูเท่านั้น ไม่สามารถสร้าง Rich Menu แบบทดลองใช้งานจริงได้

3.ออกแบบ Web App สร้างรูปแบบการแสดงผลหน้าเว็บในข้อความแชทของ LINE ซึ่งแสดงให้เห็นหน้า web browser ทันที

 

“Flex Messages” รูปแบบการแสดงข้อความ LINE ที่ยืดหยุ่น ช่วยการสร้างโค้ด

Flex Message รูปแบบการแสดงข้อความบน LINE ที่สามารถออกแบบได้ยืดหยุ่น สามารถนำ element ต่างๆ มาประกอบร่างเป็นหนึ่ง item คล้ายกับการสร้างรูปแบบ message ได้เอง

 

“Chat Emulator” ทดสอบการใช้งาน Chatbot เสมือนจริง

อุปกรณ์นี้เป็นเครื่องมือทดสอบการใช้งานก่อนนำไปใช้จริงได้เลย โดยโปรแกรมแสดงหน้าจอ iPhone สามารถพิมพ์ข้อความได้จริงเพื่อให้ทดลองสนทนาโต้ตอบกับ bot ที่สร้างขึ้นมา พร้อมกับทดสอบ item ต่างๆ ที่เราได้ออกแบบไว้

LINE Bot Designer สามารถใช้งานบนคอมพิวเตอร์ ทั้ง macOS และ Windows เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี สามารถโหลดได้ที่ https://developers.line.biz/en/bot-designer/download/

ใครที่อยากจะลองทำ LINE Marketing โดยสร้าง Chatbot ไปใช้จริงก็สามารถติดตามบริการของ Nipa Technology ในอนาคตได้ เพราะเรากำลังพัฒนาการให้บริการสร้าง Chatbot ทั้งใน LINE และ Messenger ซึ่งจะสามารถให้บริการได้ เร็วๆ นี้

 

รายชื่อบริการ Cloud Storage

ทุกวันนี้คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักกับบริการของ Cloud และกำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบออนไลน์ได้โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้หลายธุรกิจฝากข้อมูลไว้บน Cloud กันมากขึ้น

แหล่งบริการฝากข้อมูลผ่าน Cloud หรือ Cloud Storage ก็มีหลากหลายให้เลือก มีทั้งฟรีและไม่ฟรี แล้วเราจะทราบกันได้ไงว่า แหล่งบริการไหนที่ดีที่สุด?

ก่อนที่จะคิดมากกันไปกว่านี้ PCMag ได้ทำการทดสอบใช้งาน Cloud Storage แล้วสรุปออกมาเป็นรีวิวให้ทุกๆ คนได้ทราบกัน โดยประเด็นการรีวิวนี้จะเน้นไปที่การทดสอบเซ็ตฟีเจอร์ ความสะดวกการใช้งาน ความเสถียร และราคา ของผู้ให้บริการ Cloud Storage รวมถึงบริการแชร์ไฟล ที่เรามักได้ยินชื่อกันบ่อยๆ ซึ่งสามารถสรุปผลบริการ Cloud Storage ที่ดีที่สุดประจำปี 2019 ได้ดังนี้

 

IDrive

เริ่มต้นกันที่ IDrive บริการของเขาค่อนข้างตั้งค่าง่าย ไม่จำกัดอุปกรณ์ต่อหนึ่งบัญชี มีแบ็คอัปจำลองดิสก์ มีการซิงค์โฟลเดอร์ สามารถอัปโหลดไฟล์ใหญ่ๆ และรีสโตร์ผ่านเมลได้ และในการทดสอบก็มีสปีดอัปโหลดที่ไว ซึ่งโดยรวมแล้วคือ ไม่สามารถหาบริการแบ็คอัปออนไลน์ที่ฟีเจอร์มาเต็ม และราคาดีเท่านี้ได้อีกแล้ว

 

SugarSync

 ข้อดีของ SugarSync อยู่ที่หน้าตาอินเทอร์เฟสที่เหมือนทำออกมาเพื่อ Desktop โดยเฉพาะ แต่ก็มีแอปมือถือให้ใช้ได้แบบสมบูรณ์ โฟลเดอร์มีการป้องกัน สรุปรวมๆ แล้วคือ เป็นบริการซิงค์ไฟล์ที่มีบริการผ่านแอปมือถือที่ดีมาก แต่ราคาอาจแพงไปเล็กน้อย และยังขาดฟีเจอร์การใช้งานร่วมแบบล้ำๆ อยู่บ้าง

 

SpiderOakONE

ถ้าใครชื่นชอบความเป็นส่วนตัว SpiderOakOne น่าจะเหมาะกับคุณ เพราะมีฟีเจอร์ให้ความเป็นส่วนตัวที่ดีมาก บัญชีหนึ่งจะใช้กับคอมกี่เครื่องก็ได้ มีฟังก์ชันซิงค์ไฟล์ ดีไซน์สวย แถมยังมีแอปติดตั้งผ่าน Desktop แบบฟีเจอร์เต็มอีกด้วย แต่ถึงแม้ว่าจะมาพร้อมฟีเจอร์ความปลอดภัยอันดับต้นๆ และมีการแบ็คอัปที่ยืดหยุ่น แต่สำหรับราคา ก็ถือว่าแพงเกินไป ถ้าเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ

 

Microsoft OneDrive

มาถึงที่เราคนไทยน่าจะเคยได้ยินชื่อกันบ่อยๆ Microsoft OneDrive ที่มีอินเทอร์เฟสที่ยอดเยี่ยม สามารถใช้ร่วมกับ Windows 10 และ Office 365 ได้ ที่สำคัญคือมีการจัดการและการนำเสนอภาพแบบออนไลน์ที่ดีมาก ถึงแม้ว่าจะมีที่เก็บข้อมูลฟรีน้อยกว่า Google Drive แต่ก็ถือว่าเป็นแหล่งเก็บข้อมูลและซิงค์ไฟล์ออนไลน์ที่มีฟีเจอร์สมบูรณ์แบบแหล่งหนึ่งเลย

 

CertainSafe Digital Safety Deposit Box

ข้อดีที่เด่นๆ ของตัวนี้คือ มีความปลอดภัยหนาแน่นมาก เมื่อเราต้องการใส่ไฟล์ที่ค่อนข้างเซนซิทีฟลงใน Cloud CertainSafe Digital Safety Deposit Box ก็จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยไม่ได้ลดความสะดวกในการใช้งานลงไปเลย และด้วยความที่เน้นเรื่องความปลอดภัยมากนั่นเอง เราจึงต้องระวัง เพราะถ้าหากเราลืมรหัสผ่าน หรือลืมคำตอบเพื่อยืนยันตัวตน เราก็จะเสียการเข้าถึงทั้งหมดไปเลย

 

Google Drive

ไม่ต้องเกริ่นยาว หลายคนก็คงคุ้นเคยกันดี กับ Google Drive แหล่งเก็บข้อมูลออนไลน์ฟรีๆ ที่มีพื้นที่ให้แบบเหลือเฟือ แถมยังมีการใช้งานร่วมที่เฟอร์เฟกต์ และฟีเจอร์มาเต็ม อย่างที่เราคุ้นเคยกัน ก็เป็นพวก Google Doc, Google Sheet หรือ Google Slide ที่เป็นฟีเจอร์เสริม ให้ใช้งานออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น เรื่องความปลอดภัยอาจจะไม่ค่อยเข้าตา แต่ถ้าใครไม่เน้นปลอดภัย แต่เน้นฟรีก็น่าจะควรเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เลย

 

Apple iCloud Drive

มีอินเทอร์เฟสที่ค่อนข้างเรียบเก๋ คลีน ดูสะอาดตา และสามารถเข้ากับ Windows ได้ดีพอๆ กับอุปกรณ์ระบบ macOS และ iOS และทุกๆ บัญชีจะได้รับพื้นที่จุไปเลย 5GB เมื่อซื้ออุปกรณ์ iOS หรือ macOS ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของ Apple อยู่แล้ว ก็คุ้มค่าแก่การใช้งาน แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ อย่าง Google หรือ Microsoft ก็ยังถือว่าใช้งานได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก

 

Box (Personal)

การซิงค์ออนไลน์และเครื่องมือก็ใช้งานง่าย และสามารถใช้ร่วมกับหลายๆ แอป หลายๆ บริการได้อย่างกว้างขวาง แต่ยังขาดฟีเจอร์การใช้งานร่วมบางอย่างที่คู่แข่งมี และยังมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน

 

Dropbox

ด้วยการซิงค์ที่สมบูรณ์แบบ โดยไม่ต้องพยายามอะไรมากมาย แถมยังมีแอปที่ใช้ได้กับทุกระบบปฏิบัติการ มีการซัพพอร์ตที่รองรับกันดี แถมยังแสดงประวัติแอคชั่น และยังมีฟีเจอร์ที่ดีมากสำหรับผู้ใช้ระดับโปร แต่ในเรื่องราคา มีทดลงอใช้ฟรี แต่ถ้าหากต้องการอัปเกรดเป็นผู้ใช้ระดับโปรให้มีความจุได้ดังใจ ก็จะมีราคาสูงมาก

โปรโมทโพสต์เป็นปังแน่

ในปัจจุบันการขายสินค้าทาง Facebook ได้รับความนิยมมากขึ้น และถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ค้า แต่การที่จะมียอดขายที่ดีได้นั้น การลงโฆษณาสินค้าถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าไปโดยปริยาย ซึ่งหนึ่งในวิธีการลงโฆษณาที่สำคัญวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกค้ามาสนใจสินค้าของคุณได้นั้น ก็คือ การโปรโมทโพสต์ มาดูกันว่า เคล็ดลับการโปรโมทโพสต์ที่ได้ผลตรงต่อความต้องการของลูกค้านั้นและสามารถเพิ่มยอดขายให้คุณต้องทำอย่างไรกันบ้าง

1.หัวใจสำคัญคือกลุ่มเป้าหมาย 

การโปรโมทโพสต์เราต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของสินค้าเราเป็นใคร ใครคือผู้ต้องการที่จะมาซื้อสินค้าของเรา หากเลือกกลุ่มเป้าหมายผิด การโปรโมทโพสต์ของเรานั้นจะไร้ผล ขาดทุนแน่นอน

2.ทุ่มงบประมาณมาก ใช่ว่าจะดีเสมอไป

เราไม่ควรทุ่มงบประมาณมากเกินไปในการโปรโมทโพสต์ครั้งแรกของการขายสินค้านั้นๆ ควรเริ่มต้นด้วยงบประมาณที่น้อยก่อน เพื่อลองเชิงว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจากการทุ่มงบไปนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ ถ้าผลออกมาดี ถึงตอนนั้นก็สามารถทุ่มงบประมาณลงไปได้เต็มที่

3.Content is King 

ภาพ ข้อความสั้นๆ คำโปรยสินค้า หรือสิ่งที่เราต้องการจะสื่อกับกลุ่มเป้าหมายจากสินค้านั้นๆของเรา ต้องตอบสนองต่อสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ กลุ่มเป้าหมายเห็นแล้วมันดีต่อเขาอย่างไร คุ้มกับเวลาที่เสียเข้ามาดูสินค้าของคุณไหม

และนี่คือเคล็ดลับที่สำคัญ 3 ข้อ หลักๆ สำหรับการโปรโมทโพสต์ ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าของคุณ เพียงแค่วิธีง่ายๆเหล่านี้ การเงินของคุณปังแน่นอน

SEO และ Google Adword ต่างกันยังไง

หลายคนที่ทำธุรกิจ และหันมาสนใจการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ต้องรู้จักช่องทางการโฆษณาผ่าน Google กันมาบ้าง ซึ่งต้องบอกก่อนว่าการโฆษณาผ่านช่องทางนี้เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง และต้องการโฆษณาเว็บของตนให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น โดยการติดหน้าแรก google ถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้ลงโฆษณาผ่าน Google ใฝ่ฝันกัน เพราะการติดหน้าแรก จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเว็บไซต์ของเรา และเพิ่มความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

โดยการโฆษณาเว็บผ่านช่องทาง Google นั้น มีเครื่องมือหลักๆ อยู่ 2 อย่างด้วยกัน นั่นก็คือ SEO และ Google Adword ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกันว่าเครื่องมือทั้ง 2 อย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และเครื่องมือไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ

ติดหน้าแรกแบบออร์แกนิคด้วย SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเครื่องมือที่คุณแทบไม่ต้องเสียเงินในการทำเลย ยกเว้นคุณจะไปใช้บริการรับจ้างทำ SEO เพียงแค่คุณสร้างคอนเทนต์ที่ดี และมีประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของคุณได้เข้ามาอ่าน ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานกว่าที่เว็บไซต์ของคุณจะติดหน้าแรก google แต่หากติดแล้ว นั่นเป็นเครื่องการันตีได้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ และอันดับจะนิ่งกว่า การทำผ่าน Google Adword โดยการทำ SEO จะเหมาะกับผู้ที่มีงบไม่มากนัก แต่มีเวลามากพอที่จะเขียนคอนเทนต์ลงเว็บไซต์ โดยถือว่าเป็นการทำการตลาดระยะยาวนั่นเอง

ติดหน้าแรกได้อย่างรวดเร็วด้วย Google Adword 

การโฆษณาผ่าน Google Adword เป็นการลงโฆษณาที่ผู้ลงต้องเสียเงินเพื่อโปรโมทเว็บ โดยจะเสียเงินเฉพาะเมื่อมีคนคลิกเข้าไปที่โฆษณาเท่านั้น ซึ่งหากไม่มีคนคลิกก็จะไม่เสียเงิน แต่ก็จะมีคนเห็นโฆษณาของเราอยู่ดี ซึ่งอาจกลับมาเป็นลูกค้าของเราในภายหลังได้ โดยตำแหน่งการขึ้นโฆษณาจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เราตั้งไว้นั่นเอง ซึ่งการโฆษณาผ่าน Google Adword เหมาะกับผู้ที่มีงบและไม่อยากเสียเวลาหรือเสียโอกาสทางธุรกิจ ถือว่าเป็นการทำการตลาดแบบระยะสั้น

การโฆษณาผ่าน Google ทั้ง 2 แบบสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกได้ โดยแตกต่างตรงวิธีการ และการใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่การทำทั้ง 2 สิ่งควบคู่กันไปถือว่าเป็นความคิดที่ดีมาก เพราะเราจะสามารถดำเนินการทางธุรกิจได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนั้น Keyword ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากกับการทำ SEO และ Google Adword เพราะ Keyword เหล่านี้จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายค้นหา และพบเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น แต่หากใครอยากทดลองทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนตามความเหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่ได้ผิดเช่นกัน

5 วิธี promote เฟสบุ๊ค

ในปัจจุบันผู้ทำธุรกิจออนไลน์ส่วนมากให้ความสำคัญในการทำการตลาดบน Facebook นั่นก็เพราะว่า Facebook สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด เพราะเหตุนี้เองทำให้มีคนใช้ Facebook ในการทำธุรกิจมากขึ้นส่งผลให้มีคู่แข่งมากขึ้น และสิ่งที่จะทำให้เราเอาชนะคู่แข่งได้ก็คือการ promote เฟสบุ๊ค เพื่อทำให้เพจเป็นที่รู้จัก มาดู 5 วิธี promote เฟสบุ๊ค ให้เป็นที่รู้จักกันเลยดีกว่า

– เพิ่มการถูกค้นพบด้วยการใส่ข้อมูลเพจ

ถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่าในหน้าแฟนเพจ จะมี Tab ให้ใส่ข้อมูล ดังนั้นอย่าลืมใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ ใส่ข้อมูลต่างๆ ลงไป ไม่ว่าจะเป็น URL ข้อมูลที่เกี่ยวกับบริษัท และข้อมูลของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการนำเสนอ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เพจของเราถูกค้นพบได้ง่ายขึ้นแล้ว

– ให้ความสำคัญกับ Content

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะส่งผลให้การ promote เฟสบุ๊คได้ผลก็คือ Content เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เพจและผู้ติดตามมีปฏิสัมพันธ์กันมากที่สุด ดังนั้นข้อมูลที่จะนำเสนอควรเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์และสร้างภาพพจน์ที่ดีให้เพจหรือแบรนด์ของเรา ซึ่งควรโพสต์ Content สักวันละ 1 ครั้งหรือวันเว้นวันอย่างสม่ำเสมอ

ซื้อโฆษณา Facebook

       แน่นอนว่าการทำธุรกิจต้องมีการลงทุน การทำการตลาดผ่าน Facebook ก็เช่นกัน เราควรลงทุนซื้อโฆษณา Facebook เพื่อเป็นการ promote เฟสบุ๊ค ซึ่งการทำโฆษณาบน Facebook มีข้อดีคือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้สามารถแสดงโฆษณาได้อย่างตรงจุด จากการกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมาย

– สำรวจ / วิจัยข้อมูลแฟนเพจ

สิ่งที่จะยืนยันว่าการทำการตลาดผ่าน Facebook ของเราประสบความสำเร็จก็คือ การที่ผู้ติดตามมีปฏิสัมพันธ์กับเพจของเรามากขึ้น ใน Facbook มีเครื่องมือที่เรียกว่า Insights ซึ่งเจ้าเครื่องมือนี้เองที่จะช่วยบอกถึงข้อมูลทางสถิติต่างๆ ของผู้เยี่ยมชมเพจ ไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ กราฟสถิติต่างๆ ซึ่งเจ้าข้อมูลนี้เองที่จะทำให้เรารู้จักแฟนๆ ของเพจเรามากขึ้น และนำข้อมูลมาปรับใช้กับแผนการตลาดบน Facebook ต่อไปได้

– สำรวจคู่แข่ง

การทำการตลาดผ่าน Facebook นอกจากจะมีการสำรวจผลตอบรับของเพจตัวเองแล้ว การสำรวจคู่แข่งก็สำคัญ ควรมีการสำรวจว่าเพจคู่แข่งของเรามีลักษณะเป็นยังไง ใช้ Feature หรือฟังก์ชันไหนในการ promote เฟสบุ๊ค แล้วนำมาปรับใช้กับเพจของเราเองเพื่อการแข่งขัน

 

ลงโฆษณา youtube ให้ปัง

Youtube ถือว่าเป็นเว็บไซต์อันดับต้นๆ ที่คนมักจะเลือกใช้เป็นแหล่งในการดูคลิปวิดีโอต่างๆ รวมไปถึงรายการโปรด ซึ่งถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย แถมยังเปิดให้ดูกันแบบฟรีๆ เรียกได้ว่าตอบโจทย์การใช้งานกับคนทุกเพศทุกวัยเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่คิดจะทำการตลาดแบบออนไลน์ เพราะการลงโฆษณาสินค้า หรือบริการต่างๆ ผ่าน Youtube ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ถ้าเราลงโฆษณา youtube แบบไม่รู้ทริคหรือวิธีที่ถูกต้อง ก็อาจทำให้การลงทุนของเราสูญเปล่าลงไปได้ วันนี้เราจึงมีทริคเด็ดๆ เกี่ยวกับการลงโฆษณา youtube มาฝาก ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่ามีทริคอะไรที่น่านำไปใช้บ้าง

ลงโฆษณาให้สอดคล้องกับวิดีโอที่จะนำโฆษณาไปแทรก

เมื่อเรามีสินค้าหรือบริการที่เราต้องการจะขาย แน่นอนว่าเราจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายของเราให้ชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นหากสินค้าของเราเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้งานแบบไหน เราก็สามารถที่จะนำโฆษณาของเราไปแทรกคลิปวิดีโอต่างๆ ที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายของเราจะกดเข้าไปดู เช่น กลุ่มเป้าหมายของเราเป็นกลุ่มวัยรุ่น วิดีโอที่เราจะนำโฆษณาไปแทรกก็อาจจะเป็นคลิปที่อยู่ในกระแส หรือสิ่งที่คาดว่าวัยรุ่นน่าจะชอบดู ซึ่งจุดนี้จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อธุรกิจของเรา

นำเสนอเนื้อหาตอนต้นคลิปให้น่าสนใจ

โฆษณา youtube บางประเภท เป็นโฆษณาที่กดข้ามได้หลังจากเล่นไปแล้ว 5 วินาที ซึ่งจุดนี้ หากเราสามารถสร้างโฆษณาของเราให้เป็นที่ดึงดูดได้ตั้งแต่ 5 วินาทีแรก ก็มีสิทธิ์ที่คนจะไม่กดข้าม และดูโฆษณาของเราจนจบ ซึ่งอาจจะใช้เพลงที่กระตุ้นอารมณ์ร่วมของผู้ชมต่อโฆษณา หรือเปิดมาด้วยวลีเด็ดๆ รวมไปถึงการตั้งคำถามต่างๆ ตั้งแต่ต้นคลิป เพื่อให้คนสนใจที่จะหาคำตอบ ซึ่งเป็นใบเบิกทางที่ดีที่จะทำให้เขารู้จักสินค้าหรือบริการของเรามากขึ้น

ภาพนิ่งไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี

เนื่องจากเว็บไซต์ Youtube เป็นคลังรวบรวมคลิปวิดีโอหลายต่อหลายคลิปไว้ด้วยกัน ดังนั้นการลงโฆษณา youtube ก็ควรที่จะเป็นวิดีโอเช่นกัน หากเราใช้แค่ภาพนิ่ง ไม่มีเสียงประกอบ หรือลูกเล่นใดๆ แน่นอนว่าสินค้าหรือบริการนั้นๆ ของเราย่อมไม่เป็นที่จดจำอย่างแน่นอน ซึ่งจุดนี้ ทำให้การลงโฆษณา youtube ของเราเปล่าประโยชน์ไปโดยอัตโนมัติ

ทริคในการลงโฆษณา youtube นั้นถือว่าไม่มีอะไรที่แน่นอนตายตัว หากเราเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับธุรกิจของเรา แน่นอนว่าจะสามารถเปลี่ยนสิ่งที่หลายๆ คนรำคาญตา อย่าง โฆษณา youtube ให้กลายเป็นคลิปที่ดึงดูด และเพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างไม่ยากเย็นเลยทีเดียว

 

Email Marketing แคมเปญถาวร

การทำการตลาดสมัยนี้ จำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์อยู่สม่ำเสมอ เพราะมีการแข่งขันกันอย่างสูง นอกจากการส่งอีเมลหาลูกค้าอย่างเดียวไม่เพียงพอ ที่จะมัดใจลูกค้าให้ซื้อผลิตภัณฑ์ หรือบริการได้จึงต้องมีการทำแคมเปญขึ้น

คำว่า “แคมเปญถาวร” เป็นแคมเปญอย่างหนึ่งที่ไม่สิ้นสุดที่การขาย แต่ยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งวงจรชีวิตของลูกค้า Email Marketing ควรจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ต้องมองไปไกลกว่าเป้าหมายโดยตรงในการสร้างความสัมพันธ์และเริ่มการติดต่อในระยะยาว วิธีการที่แคมเปญด้านการตลาดทางอีเมลแบบถาวรสามารถสร้างความผูกพันระยะยาวได้

ผนวกรวมการสนทนาเนื้อหาและบริบท

ในการตรวจสอบให้แน่ใจต่อการมีส่วนร่วม นักการตลาดต้องศึกษาความสัมพันธ์กันของ 3 ส่วนหลักของแคมเปญอีเมลคือ บริบท,เนื้อหา และ การติดต่อสื่อสาร

บริบทอีเมล อธิบายถึงสิ่งที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างแบรนด์กับบริษัทคู่แข่ง ตอบคำถามของผู้บริโภคว่าทำไมต้องสนใจแบรนด์ของคุณ

เนื้อหาอีเมล แสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจว่าลูกค้าของคุณคือใคร ที่อยู่ทางด้านนอกของบริบทของแบรนด์ของคุณ ในขณะที่ไม่ได้ผลักดันการขาย เนื้อหาอีเมลจึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่จะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

การติดต่อสื่อสาร การสร้างการสนทนาเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ที่อยู่ในอีเมล การสนทนาเหล่านี้ควรจะรวมถึง call-to-action โดยปกติแล้วการขายเป็นจะเป็นการบรรลุเป้าหมาย Email Marketing จะระดมผู้บริโภคโดยให้พวกเขาแบ่งปันข้อมูลกันบนเครือข่ายทางสังคมหรือการซื้อสินค้า

 

ระบุเมื่อลูกค้าพร้อมที่จะซื้ออีกครั้ง

นักการตลาดจะต้องมีความสามารถในการระบุเมื่อลูกค้าพร้อมที่จะซื้ออีกครั้ง นักการตลาดจะเห็นว่าความล้มเหลวในการระบุเมื่อลูกค้าพร้อมที่จะซื้อทำให้พลาดโอกาสสำคัญในการขาย ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญาณความผิดปกติบนเว็บไซต์ของบริษัทของคุณ ตัวอย่างเช่นอาจระบุว่าลูกค้าพร้อมที่จะสั่งซื้อได้ เมื่อมีสัญญาณเหล่านี้เกิดขึ้นและควรปรับแต่งอีเมลที่ส่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

 

อ้าแขนรับสิ่งกระตุ้น

จากการศึกษาแบรนด์หลักๆ สัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้บริโภคจะมีความสนใจในแบรนด์คือ การส่ง Email ของพวกเขาและการวางรายการในรายการสินค้าในรถเข็น เมื่อผู้บริโภคมีการจัดซื้อ แบรนด์สามารถใช้การส่งข้อความที่มีอิทธิพลในการกระตุ้นพวกเขาในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากมีรายการอยู่ในตะกร้าซื้อสินค้าออนไลน์ แบรนด์สามารถส่งข้อความเตือนให้ลูกค้าของตนที่กำลังจะละทิ้งสินค้าในตะกร้าสินค้าได้หากอีเมลไม่มีอิทธิพลต่อการซื้อแล้วข้อมูลจากประวัติการท่องเว็บของคุณยังคงสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเนื้อหาและจัดให้บริการในการส่งข้อความในอนาคตได้

 

คิดเหมือนลูกค้า

การสื่อสารจากแบรนด์ไม่ควรดูเหมือนหุ่นยนต์ ผู้บริโภคจะไม่ต้องแปลกใจถ้าพวกเขาได้รับการขอให้อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน เหมือนกับแคมเปญที่ดีมักมีการวางเป้าหมายไว้ในใจ ด้วยการคิดเหมือนกับลูกค้าคุณสามารถระบุเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำให้ถามอย่างเหมาะสมและดำเนินการตามเป้าหมายของคุณได้

Digital Signage สื่องานอีเว้นท์

สมัยนี้การทำโฆษณาต้องโดดเด่นและน่าสนใจ เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นสะดุดตา Digital Signage จึงมาทดแทนป้ายประกาศแบบธรรมดา ซึ่งจอสามารถแสดงรายละเอียดของข้อมูลสินค้าได้ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เรามักจะพบเห็นได้ในงานอีเว้นท์

เพราะมันสามารถโต้ตอบกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มความประทับใจ และประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้ ซึ่งวันนี้เรามาพูดถึงประโยชน์ของ Digital Signage เพิ่มเติมกันดีกว่าว่าจะสามารถช่วยอะไรในการจัดงานอีเว้นท์ได้บ้าง

 

 ให้ข้อมูลได้มากขึ้น

เพราะเครื่อง Digital Signage สามารถสื่อสาร ให้ข้อมูลทั้งหมดกับผู้เข้าร่วมงานอีเว้นท์ได้ เพียงแค่กดบนหน้าจอ รายละเอียดของสินค้า หรือรูปแบบของสินค้าก็จะแสดงข้อมูลขึ้นมาทันที

 

ส่งข้อความได้อย่างรวดเร็ว

พวกภาพ Real – Time / ผลคะแนน หรือคำแนะนำต่างๆ ที่อยู่ภายในงาน ผู้จัดงานอีเว้นท์ก็สามารถนำขึ้นแสดงผ่านจอ Digital Signage ได้

 

ลดภาระของพนักงาน

Digital Signage เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถทำให้ผู้เข้าชมงานอีเว้นท์ลดความต้องการในการขอความช่วยเหลือจากพนักงานได้ เพราะเราสามารถใส่ข้อมูลต่างๆ ที่อยากนำเสนอลงไปได้อย่างครบถ้วน โดยไม่ต้องมีพนักงานมาคอยยืนบอกรายละเอียดต่างๆ ถือเป็นการลดต้นทุนในส่วนของการจ้างพนักงานได้อีกด้วย

 

งานอีเว้นท์ดูน่าสนใจมากขึ้น

นอกจากเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย มันยังสามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าชมงานได้มากขึ้น และการใช้ Digital Signage ในการจัดอีเว้นท์ก็ยังทำให้การนำเสนอข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ดูน่าสนใจให้กับผู้เข้าร่วมงานได้มากขึ้นอีกด้วย

 

ต้องยอมรับเลยว่า การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการจัดอีเว้นท์ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะสามารถช่วยให้งานของคุณดูน่าสนใจมากขึ้นได้จริงๆ และยังเป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้ทั้งในส่วนของผู้จัดงาน และผู้เข้าร่วมงานอีเว้นท์ด้วยนะคะ ผู้จัดอีเว้นท์คนไหนอยากเพิ่มความสนใจให้กับงานที่จัดลองนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เราแนะนำเข้าไปประยุกต์ใช้กับงานอีเว้นท์ที่คุณจัดดูได้เลยค่ะ

เตรียมพร้อมก่อนลงโฆษณา

แม้ตอนนี้จะเข้าสู่ปี 2018 แล้ว แต่ Content Marketing ก็ยังเป็นเครื่องมือทาง Digital Marketing ที่ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งจากผลการสำรวจในปี 2017 พบว่าร้อยละ 90 ขององค์การต่างๆ ทั่วโลกเลือกใช้ Content Marketing ในการลงโฆษณาสินค้าบริษัทตัวเอง และเฉลี่ยงบประมาณกว่าร้อยละ 25 ให้กับการทำ Content Marketing

Content Marketing คืออะไร? การทำคอนเทนต์ คือ การทำการตลาดโดยที่ผู้ประกอบการสร้าง Content ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมา ไม่จำกัดว่าจะเป็นในรูปแบบเนื้อหา, วิดีโอ, Infographic หรืออื่นๆ ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการสร้างปฎิสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้า ทำให้ลูกค้าเกิดการจดจำในแบรนด์ รวมถึงทำให้ลูกค้าจงรักภักดีกับแบรนด์ด้วย

ซึ่งการทำ Content Marketing เพื่อลงโฆษณาสินค้าให้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แม้ฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่การจะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบนั้น ผู้ประกอบการต้องรู้จักการเตรียมตัวที่ครอบคลุมเสียก่อน วันนี้ NIPA Technology จึงจะพาทุกคนไปรู้จัก 2 สิ่งที่ควรทำก่อนเริ่มทำ Content Marketing

  1. สำรวจแบรนด์ก่อนทำ Content Marketing
    การสำรวจแบรนด์ก่อนเริ่มทำ Content Marketing ถือเป็นก้าวแรกที่จะพาธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จ เพราะหากคุณเข้าใจในแบรนด์ของตัวเองแล้ว คุณจะรู้ทิศทางที่ต้องการพาแบรนด์ไป โดยสิ่งที่คุณต้องสำรวจจากแบรนด์ของคุณ คือ
    1.1) สำรวจกลุ่มเป้าหมาย : ค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นลูกค้าของคุณคือใคร เพื่อให้ง่ายต่อการวางกลยุทธ์และรูปแบบการเขียน Content เช่น เพศ อายุ พฤติกรรม ความสนใจ ฯลฯ
    1.2) กำหนดบุคคลิกของแบรนด์ : บุคคลิกของแบรนด์ (Brand Personality) มีความสำคัญอย่างมาก แบรนด์ต้องกำหนดบุคคลิกให้ชัดเจนว่า หากนำแบรนด์ไปเปรียบเทียบกับคน แบรนด์คุณจะเป็นคนเพศไหน อายุเท่าไหร่ ลักษณะนิสัยอย่างไร เพื่อให้การเขียน Content เป็นไปได้ง่าย
    1.3) จุดอ่อน-จุดแข็งของแบรนด์ : คุณต้องทราบว่าแบรนด์ของตัวเองมีจุดออ่อน จุดแข็งตรงไหน เพื่อใช้ Content เป็นอาวุธในการอุดช่องโหว่ และทำให้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรับมือกับคู่แข่ง
    1.4) สำรวจคู่แข่ง : เพื่อปรับแผน Content ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
  2. การวางแผนระยะยาวในการทำ Content Marketing เพื่อลงโฆษณาสินค้า
    หลายองค์กรมักคิดว่าการทำ Real- Time Content โดยเอาเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสบนโลกออนไลน์มาผูกโยงกับแบรนด์จะช่วยทำให้เกิด Engagement  (Like, Share, Comment) มากกว่าการทำ Content แบบวางแผนล่วงหน้า โดยหารู้ไม่ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ทิศทางการนำเสนอเนื้อหาบนหน้า Page หรือ Website ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
    ดังนั้นการลงโฆษณาสินค้าด้วย Content ที่ถูกต้องจึงควรมีการวางแผนระยะยาวเตรียมไว้ ว่าในเดือนแรกจะทำอะไร และเดือนต่อไปจะทำอะไร โดยกำหนดหัวข้อ Content ไว้คร่าวๆ เช่น เดือนแรกเป็นการทำ Content เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ด้วยการเน้นทำ Content รูปแบบ Knowledgeและต่อมาในเดือนที่สองจึงจะเริ่มเปลี่ยนไปขายสินค้า

โปรโมท facebook วิธีไหนบ้าง

อย่างที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบัน สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากกับการใช้ชีวิตของมนุษย์ทุกเพศทุกวัย จุดนี้จึงทำให้ในโลกของการค้าขาย ได้ดึงเอาประโยชน์ในส่วนนี้มาใช้ ก่อให้เกิดเป็นการตลาดออนไลน์ขึ้น ผ่านช่องทางสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยเฉพาะสื่อยอดฮิตอย่าง Facebook ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาพ่อค้า แม่ค้า หรือผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ มักจะมีช่องทางสื่อสารกับลูกค้าผ่านเพจ facebook เป็นของตนเอง แต่จะทำอย่างไรให้เพจของเราเป็นที่รู้จัก และสามารถปิดการขายได้ในที่สุด

ซึ่งวันนี้เราจะมาคลายข้อข้องใจข้อนี้กัน ว่าจริงๆ แล้วการ โปรโมท facebook page ของเรานั้น มีได้หลากหลายวิธี แต่วันนี้เราจะนำเสนอวิธีหลักๆ 2 วิธีที่เป็นฟังก์ชันจากทาง Facebook ให้ได้ดูกัน ตามมาดูดีกว่าว่ามีวิธีไหนบ้าง

โปรโมทเพจ

การโปรโมทเพจ เป็นวิธีแรกๆ ที่เราควรจะทำ หากคิดที่จะโปรโมท facebook page ของตนเอง เพราะเมื่อเรากดโปรโมท และดำเนินการตั้งค่าต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทางระบบของ Facebook ก็จะขึ้นโฆษณา และเผยแพร่ไปตามหน้า Feed ของกลุ่มเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ โดยโฆษณาที่ขึ้นไปนั้น จะมีแนวโน้มไปในทางเชิญชวนให้กดไลก์ และกดติดตามเพจ ซึ่งผู้ที่พบเห็นการโปรโมท facebook page ด้วยวิธี
โปรโมทเพจนี้จะเห็นคร่าวๆ ว่าเพจของคุณเกี่ยวกับอะไร และมีสินค้าและบริการประเภทไหนบ้าง ซึ่งหากตรงตามความต้องการของพวกเขา ก็ย่อมมียอดการกดถูกใจเพิ่มขึ้น และอาจต่อยอดไปถึงการซื้อ-ขายได้อย่างแน่นอน

โปรโมทโพสต์

เมื่อคุณมีเพจที่อยู่ตัวพอสมควรแล้ว ขั้นต่อไป คุณควรจะมีตัวคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่คุณนำเสนอไว้ในเพจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นเนื้อหาเหล่านั้นต้องเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับสินค้าหรือบริการจากเพจของคุณได้ โดยคุณควรจะทำโพสต์ขึ้นมาอย่างน้อยหนึ่งโพสต์สำหรับโปรโมท เพื่อทำให้คนรู้จักตัวตนของคุณมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในร้านมีอะไรบ้าง กิจกรรมต่างๆ หรือแม้แต่การให้ประโยชน์หรือความรู้ที่ผู้พบเห็นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ซึ่งหากคุณโปรโมท facebook page ของคุณ ด้วยวิธีการ
โปรโมทโพสต์ ผู้ที่มาพบเห็นก็จะมีส่วนร่วมกับโพสต์ทีคุณโปรโมท ไม่ว่าจะเป็นกดไลก์ คอมเมนต์ หรือกดแชร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เพจของคุณเป็นที่จดจำ และมีผู้เข้ามาชมภายในเพจมากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการมาสั่งซื้อสินค้าหรือบริการของคุณด้วยนั่นเอง

ในความจริงแล้วการโปรโมท facebook ทั้ง 2 วิธี ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมทเพจ หรือการโปรโมทโพสต์ ควรเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน หรือพร้อมๆ กัน เพราะเมื่อเพจของคุณเป็นที่รู้จัก ก็มีสิทธิมากที่คนจะเข้ามาชม หากคุณไม่ทำเนื้อหาภายในเพจให้ดีก็อาจจะลดความน่าสนใจลงไป และอาจทำให้การลงทุนของคุณครั้งนี้เปล่าประโยชน์ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณเช่นกันว่า อยากลองใช้วิธีโปรโมท facebook page ของคุณด้วยวิธีไหนมากกว่ากัน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ