คลังเก็บหมวดหมู่: ทั่วไป

รูปแบบอีเมลที่ส่ง

นอกจากการเขียนจดหมายไปรษณีย์เพื่อการสื่อสารผ่านตัวอักษร หรือจดหมายที่เป็นทางการแล้ว การส่ง Email ก็ถือเป็นจดหมายที่เป็นทางการที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารแบบทั่วไป และภายในองค์กร แต่เราจะมีวิธีที่ไหนที่ทำให้อีเมลของเราดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

เนื่องจากอีเมลฉบับแรกถูกส่งไปเมื่อปีพ. ศ. 2514 จึงกลายเป็นวิธีหนึ่งในการเข้าถึงลูกค้าของคุณ อีเมลยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีค่ามากที่สุด แต่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาธุรกิจของตนในขณะที่ยังให้ความสำคัญกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า  หลายคนมีข้อสันนิษฐานว่าอีเมลจะตายเนื่องจากเทคโนโลยีใหม่และยุคดิจิตอลที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามตาม DMA อีเมลมี ROI เฉลี่ยอยู่ที่ 122% ซึ่งสูงกว่าสื่อทางสังคมออนไลน์อื่นๆ  นอกจากนี้ตาม Radicati มี 205 พันล้านอีเมลที่ส่งทั่วโลกทุกวัน จำนวนนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 246 พันล้านอีเมลที่ส่งไปทั่วโลกในปี พ. ศ. 2562

ดังนั้น สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มทำการตลาดทางอีเมล คือ รูปแบบอีเมลที่ควรส่ง หรือสิ่งที่ควรทำในอีเมลนั้นๆ ซึ่งเราได้สรุปมา 5 รูปแบบ ดังนี้

 

1. ดึงดูดความสนใจลูกค้าเป้าหมาย ทำให้ง่าย แต่เพิ่มภาพเพื่อดึงดูดความสนใจ

ความเข้าใจผิดคือการทำให้การออกแบบอีเมลดูซับซ้อนและสวยงาม และให้ข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในความเป็นจริงผู้รับ หรือผู้อ่านมีช่วงเวลาในการเปิดดูที่จำกัด พวกเขาใช้เวลาเฉลี่ย 11.1 วินาทีในการอ่านอีเมลก่อนที่พวกเขาจะคลิกไปยังส่วนต่างๆ เพิ่มเติม หรือปิดมันไป  แม้ว่าจะมีบล็อกจำนวนมากที่ระบุอีเมลที่ดีที่สุดเป็นอีเมลที่ไม่มีรูปภาพ แต่เรากลับพบว่าการใช้ภาพหนึ่งภาพกลับได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการไม่มีภาพเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการกระตุ้นให้ผู้อื่นดาวน์โหลดรายงานหรือเนื้อหา ภาพจะช่วยให้มี CTA ที่ชัดเจน และโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาอีเมลอีกด้วย

 

2. อีเมลส่วนตัว (Personalization) และต้องชัดเจน

ไม่มีใครอยากเห็นอีเมลที่เต็มไปด้วยแบนเนอร์และรูปภาพเยอะมากเกินไป ถ้าคุณจะขอให้พวกเขาทำอะไร ควรกำหนด หรือแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน รวมถึงควรเป็นไปในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงถึงผู้รับ หรือผู้อ่านด้วย

บรรทัดหัวเรื่อง: ควรเป็นเรื่องส่วนตัวและตรงไปตรงมาราวกับว่าคุณกำลังพูดคุยกับใครสักคนในแบบ 1-on-1

เนื้อหาอีเมล: ควรคล้ายกับหัวเรื่องของคุณ คือ ควรมีความเรียบง่าย ใส่ CTA แบบง่ายๆ แต่ชัดเจน เช่น “กำหนดเวลาการประชุม” โดยถ้าต้องการขอให้ผู้รับตอบกลับโดยตรง  คุณควรใส่รายละเอียด หรือแสดงให้เห็นเด่นชัดและสิ่งนั้นควรเข้าใจง่าย รวมถึงสามารถเห็นได้ชัดเจน  เช่น หน้า Landing Page  ที่ดูกระชับกว่าหน้าเว็บไซต์ ทั้งนี้ ต้องเป็นรูปแบบที่อ่านง่าย ชัดเจน และไม่เต็มไปด้วยเนื้อหาและแบบฟอร์มการลงทะเบียนที่ละเอียดจนเกินไป

 

3. อีเมลนำเสนอเพื่อการขาย แจกของแถม และอีเมลการตลาด

ในแง่ของการแจกของรางวัลหรือการมีของแถมดูเป็นภาพลักษณ์ที่ดี ดังนั้นคุณควรนำเสนอออกไปให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งมันไม่เพียงแค่ดึงดูดความสนใจเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงให้เห็นว่าเป็นสินค้าอย่างไร มีความน่าเชื่อถือ หรือมีภาพลักษณืที่ดีมากน้อยแค่ไหน

บรรทัดหัวเรื่อง: ควรกระชับ ชัดเจน และสามารถสื่อถึงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับสินค้า แบรนด์ หรือองค์กรของคุณ

เนื้อหาอีเมล:  ควรสื่อสารแบบตรงไปตรงมา และโพสต์ข้อเสนอที่ดีที่สุดของคุณให้พวกเขาทราบ หากคุณขายสินค้าและมีของแถม คุณไม่ควรทำให้ผู้อ่านต้องคาดเดาว่าของแถมหรือสิ่งที่คุณกำลังพยายามจะขายคืออะไร ควรนำเสนอไปให้ชัดเจน

 

4. ข้อเสนอแนะและการสำรวจ หากคุณต้องการสำรวจความคิดเห็น จงนอบน้อม

อย่าพูดอะไร เช่น “ขอบคุณที่มาร่วมงานที่ดีที่สุดในโลก นี่คือการสำรวจ”  โปรดกลับไปดูข้อที่ 1 อย่างแรกคือต้องดึงดูดความสนใจก่อนและค่อยขอให้พวกเขาแสดงความคิดเห็น

บรรทัดหัวเรื่อง: ควรแสดงความถ่อมตนและเป็นกันเอง โดยใช้ประโยคที่ว่าสามารถ “ให้คำติชม” หรือ “ให้คำแนะนำ” แทนคำว่า “แบบสำรวจ” ตัวอย่าง: “เรารักความคิดเห็นของคุณ” หรือ “ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

เนื้อหาอีเมล: ควรเริ่มต้นด้วยการขอบคุณในแบนเนอร์หรือหัวเรื่องแรกของคุณ และหลีกเลี่ยงการพูดถึงการสำรวจใน CTA ของคุณ โดยแทนที่ด้วยการใช้วลีอื่น เช่น ‘ให้ข้อเสนอแนะ’ หรือ ‘ให้คำแนะนำของคุณ’ ซึ่งคำเหล่านี้มักทำงานได้ดีกว่า ‘กรุณาทำแบบสำรวจนี้ให้สมบูรณ์’

 

5. การเรียนรู้อื่น ๆ

โดยทั่วไป 48 ชั่วโมง หลังจากส่งอีเมลฉบับแรก  คุณควรส่งอีเมลติดตามผลพร้อมกับหัวเรื่องที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง สำหรับผู้ที่ไม่ได้เปิดอีเมลของคุณ ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มอัตราการเปิดอ่านแล้ว  ยังทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถเข้าถึงอีเมล หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด

กำหนดค่าส่วนบุคคล: ตามการตรวจสอบแคมเปญโดยเฉลี่ยแล้วอีเมลที่มีหัวเรื่องที่เป็นแบบส่วนบุคคลจะมีโอกาสเพิ่มอัตราการเปิดได้มากถึง 26% นอกจากนี้ข้อความหรือเนื้อหาในอีเมลที่เป็นแบบส่วนบุคคลยังช่วยปรับปรุงอัตราการคลิกผ่านโดยเฉลี่ย 14% และ Conversion 10%

ส่งเนื้อหาไปยังหน้า Landing Page: โปรดจำไว้เสมอว่าช่วงการอ่านอีเมลโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 11 วินาที ดังนั้นคุณต้องกระตุ้นให้ผู้อ่านคลิกและเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้า Landing Page ของคุณให้ได้ และวางเนื้อหาส่วนที่เหลือที่ต้องการจะนำเสนอเข้าไปในหน้า Landing Page แทน

หยุด 10 ข้อหากทำ Email Marketing

Email Marketing ไม่เคยตายสำหรับช่องทางการทำ Online Marketing แต่จะทำอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องยาก เพราะคนส่วนใหญ่มักมองข้ามการเปิดอ่าน Email ในแนว Marketing แต่หากเรารู้วิธีที่ทำให้คนสามารถเปิดอ่าน Email Marketing ก็มีโอากสประสบความสำเร็จในช่องทางนี้

Email Marketing มีศักยภาพในการสร้าง ROI สำหรับธุรกิจของคุณ แต่การเพิ่มประสิทธิภาพหรือ ROI ให้ธุรกิจของคุณก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป มีหลายสิ่งอย่างที่กำลังติดตาม เพื่อเป็นตัวชี้วัดในการเพิ่มค่า ROI โดยติดตามตั้งแต่เครื่องมือที่ใช้ แคมเปญที่ทำ ไปจนถึงการวิเคราะห์ผลลัพธ์ ส่วนต่างๆ เหล่านี้ต้องมาใช้พิจารณาร่วมกัน เพื่อทำให้การทำการตลาดผ่านอีเมลของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  เราได้รวบรวม 10 ข้อข้อผิดพลาดเกี่ยวกับ Email Marketing ที่เมื่อรู้แล้ว หรือกำลังทำอยู่ให้รีบแก้ไขทันที ดังนี้

 

1. ไม่ใช้คำกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ

ถ้าคุณกำลังสร้างอีเมลแคมเปญแต่ไม่บอกให้ผู้รับทราบว่ามันเกี่ยวกับอะไร หรือต้องทำอย่างไรต่อในอีเมล สิ่งนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างหนึ่ง ที่อาจทำให้คุณไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ และอาจทำให้เสียทั้งเวลาและทรัพยากรอีกด้วย คุณสามารถทำอีเมลของคุณให้เหมาะสมและให้มีความน่าสนใจได้เพียงแค่เพิ่มคำ หรือข้อความที่มีความน่าสนใจ เข้าใจง่าย ชัดเจน และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจที่จะทำอะไรต่อในอีเมล (เช่น เชิญชวนให้ตัดสินใจคลิกลงทะเบียน) ซึ่งสิ่งนี้สามารถเพิ่มอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ หรือทำให้พวกเขาตัดสินใจลงทะเบียน/สมัครสมาชิกเพื่อนำไปสู่การเพิ่มโอกาสในการปิดการขายและอื่นๆ ได้ในอนาคต

ตัวอย่างเช่นในอีเมลนี้จาก Chatbooks เป้าหมายคือการทำให้ซื้อสินค้า บริษัท มีรหัสคูปองเพื่อช่วยกระตุ้นผู้คนให้ดำเนินการนี้ ดังนั้น จึงใช้สิ่งล่อใจดังกล่าวเป็นข้อความ Save 20% Today!”

 

2. ไม่แบ่งลิสต์รายชื่อให้ชัดเจน

หากคุณไม่ได้แบ่งกลุ่มรายชื่ออีเมลของคุณ คุณจะพลาดวิธีง่ายๆ ในการส่งอีเมลส่วนบุคคล (Personalization) สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความพิเศษให้กับอีเมล เพราะมันสามารถทำให้ผู้รับเกิดความประทับใจและรู้สึกได้ว่าอีเมลนั้นๆ เป็นของพวกเขาจริงๆ เช่น การใส่ชื่อ หรือข้อมูลความสนใจเฉพาะบุคคลเข้าไป จะยิ่งช่วยทำให้ผู้รับรู้สึกว่าน่าสนใจ เพราะมีเกี่ยวข้องกับตัวเอง และเปิดอ่านอีเมล หรือคลิกลิงค์อ่านข้อมูลเพิ่มเติมในทีสุด ซึ่งจะส่งผลให้ผลลัพธ์ในการทำการตลาดผ่านทางอีเมลมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น

 

3. ไม่เขียนเนื้อหาอีเมลให้ตรงตามความสนใจของผู้รับ

อีเมลของคุณมุ่งเน้นไปที่ความสนใจของผู้อ่านหรือมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจของคุณ?

ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มหลังคุณกำลังทำข้อผิดพลาดด้านการตลาดที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง คือ ละเลยการให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการใช้งาน หรือลืมสนใจในความต้องการของผู้รับ ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากธรรมชาติของผู้รับอีเมล พวกเขามักจะไม่สนใจในสิ่งต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และถ้าคุณสามารถแสดงให้พวกเขาเห็นได้ว่าเนื้อหาที่อยู่ในอีเมล ต้องการสื่อสารกับเขา หรือมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาจริงๆ สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มให้อีเมลที่เราส่งไปมีผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดียิ่งขึ้น

 

4. ไม่ใช้อีเมลอัตโนมัติตามนิสัยของผู้ใช้

ตามข้อมูล BigCommerce บอกว่าอีเมลอัตโนมัติเป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการตลาดทางอีเมล ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้คุณมีเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกค้าในเวลาที่เหมาะสมที่สุด

วิธีการทำงาน: คือ วางเส้นทาง (Journey Builder) และกำหนดเกณฑ์ หรือเงื่อนไขให้กับทริกเกอร์ที่วางไว้ในเส้นทางนั้นๆ โดยถ้าเป้าหมายของคุณ คือ ต้องการส่งอีเมลไปยังสมาชิกใหม่ที่ลงทะเบียนเข้ามา คุณก็แค่วาง Journey Builder โดยใช้ทริกเกอร์ส่งอีเมล โดยตั้งเงื่อนไขให้ส่งหาคนที่เพิ่งลงทะเบียนเข้ามาใหม่ คุณสามารถสร้างแคมเปญอีเมลอัตโนมัติด้วย Journey Builder ได้ทุกประเภท ซึ่งส่วนนี้จะช่วยลดการทำงานให้กับทีมงานของคุณ ถ้าคุณยังไม่ได้ใช้ Journey Builder เราคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มต้น ซึ่งมันจะช่วยให้คุณประหยัดเวลา ช่วยให้คุณสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้รับและช่วยให้ทำการตลาดได้อย่างเหมาะสม และตรงกับความต้องการของผู้รับมากยิ่งขึ้น

 

5. ไม่ตั้งหัวเรื่อง (Subject) อีเมลให้น่าสนใจ

คุณอาจเคยละเลยเรื่องหัวเรื่องอีเมล (Subject) ของคุณไป เพราะคิดว่าคุณได้สร้างอีเมลที่สวยงามมากเพียงพอแล้ว  แต่ความจริงแล้วคุณอาจคิดผิด เพราะหากคุณละเลยเรื่องหัวเรื่องอีเมล (Subject) และมันดูไม่น่าสนใจ คุณอาจจะสูญเสียอัตราการเปิดอ่านอีเมลนั้นไปเลยก็ได้ และเมื่อผู้รับไม่เปิดอ่าน ต่อให้อีเมลที่คุณทำมาจะสวยงามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะพวกเขาก็ไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านหรือดูมันอยู่ดี

อย่ายอมเสียทั้งงบประมาณและเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เพียงเพราะคุณละเลยการให้ความสำคัญของการตั้งหัวข้ออีเมล (Subject) เรามีเทคนิคดีๆ ในการตั้งหัวข้ออีเมล ที่ง่ายมากๆ  ดังนี้

  • ทำให้มันสั้นและน่าสนใจ
  • กระชับ ได้ใจความ
  • เลือกใช้คำขึ้นต้นที่ชวนให้อ่านต่อ
  • มีความชัดเจนและเรียบง่าย

 

6. ไม่เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้เปิดอ่านอีเมลบนมือถือ (Responsive)

StatCounter กล่าวว่าคนส่วนใหญ่นิยมเข้าใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือ มากกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและแท็บเล็ต ถ้าคุณไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการตลาดทางอีเมลให้กับผู้ใช้งานบนมือถือ หรือไม่ทำให้การแสดงผลของอีเมลเป็นไปในรูปแบบ Responsive ข้อความในอีเมลของคุณอาจจะแสดงผลได้ไม่ดีนัก ไม่สวยงาม หรือแสดงผลไม่ครบถ้วน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น นอกจากผู้รับจะไม่เปิดอ่านอีเมลของคุณแล้ว ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะลบอีเมลของคุณไปเลยอีกด้วย  ดังนั้น ควรปรับแต่งอีเมลให้รองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสม ทั้งบนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน

 

7. ไม่มีการใส่ข้อความ (หรือ Alt Text)

หากส่วนประกอบในอีเมลมีแต่รูปภาพ นั่นเท่ากับว่าอีเมลของคุณกำลังมีปัญหา  การส่งอีเมลที่มีแต่รูปภาพ ส่วนใหญ่แล้วภาพนั้นจะไม่แสดงผลให้แบบอัตโนมัติในการเปิดอ่านครั้งแรก และก็มีโอกาสน้อยมากที่พวกเขาจะกดให้แสดงภาพเพื่อดูมัน ซึ่งหมายความว่าหากอีเมลของคุณคือภาพทั้งหมดและไม่มีข้อความอะไรเลย ผู้ใช้จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีเมลที่ส่งไปนั้นเกี่ยวกับอะไร หรือต้องการให้ทำอะไรกับอีเมลนั้นต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าความน่าสนใจในอีเมลนั้นก็จะลดน้อยลง ดังนั้น การเพิ่มข้อความ หรือข้อความ alt ให้กับรูปภาพเป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้ง

 

8. ไม่ได้ส่งอีเมลอย่างมีกลยุทธ์หรือการวางแผลที่ดี

ผู้รับอีเมลของคุณต้องการรับอีเมลจากคุณบ่อยเพียงใด? ถ้าคุณตอบคำถามนี้ไม่ได้ถือเป็นอีกความผิดพลาดทาง Email Marketing ที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะถือว่าคุณไม่ได้ให้ความสนใจกับพฤติกรรม หรือความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของคุณมากพอ นั่นเท่ากับว่าคุณไม่ได้ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และไม่ได้มีวางแผนกลยุทธ์ให้ดีก่อน หลายแบรนด์มีการสำรวจ หรือสอบถามความต้องการของผู้รับก่อนว่าต้องการรับข้อมูลข่าวในความถี่ประมาณเท่าไหร่ หรือต้องการรับข่าวสารเกี่ยวกับอะไรบ้าง เป็นต้น เพื่อใช้สำหรับวิเคราะห์ จัดกลุ่ม และเตรียมเนื้อหาอีเมลที่ตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้น โดยถ้าคุณเริ่มเก็บข้อมูล และสามารถแบ่งรายชื่อออกเป็นส่วน ๆ ได้อย่างชัดเจนแล้ว คุณสามารถใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) หรือ Journey Builder ในการทำ Email Marketing รวมถึงใช้ติดตามผลเพื่อนำไปวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

 

9. ไม่มั่นจัดการรายชื่ออีเมล (Cleansing database)

จำนวนรายชื่ออีเมลทั้งหมดของคุณมากเท่าไหร่ไม่สำคัญเท่ากับจำนวนอีเมลของคนที่มีความสนใจอย่างแท้จริง หรือเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราจริงๆ หากรายชื่อของคุณมากขึ้นแต่คุณมีสมาชิกที่ไม่ใช้งานอีเมล หรือเป็น Hard bounce email รายชื่อที่มากขึ้นก็ไม่ได้ช่วยให้กำไรของคุณดีขึ้นแน่นอน อะไรจะช่วยให้กำไรของคุณมากขึ้น คำตอบคือ ผู้ใช้ที่มีเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยแท้จริง หรือให้ความสนใจในสิ่งที่คุณกำลังจะส่งให้จริงๆ ดังนั้น คุณควรทำจัดการรายชื่ออีเมลของคุณให้เหมือนกับ “ทำความสะอาดบ้าน” หมั่นทำอยู่เสมอ เพราะเมื่อคุณจัดการ หรือลบอีเมลผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วม หรือไม่มีฟีดแบ็คอะไรกลับมา มันจะเหลือแฟนตัวจริงของแบรนด์ของคุณ หรือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง และนี่ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้การทำการตลาดผ่านทางอีเมลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

10. ไม่ทำ A/B Testing อีเมล

การทดสอบอีเมลของคุณเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความชอบของผู้รับ เมื่อคุณทราบแล้วว่าลักษณะภาพ ข้อความ หรือหัวข้ออีเมลแบบไหน ที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผู้รับคุณสามารถใช้ความรู้นี้เพื่อสร้างอีเมลให้น่าสนใจและน่าตื่นเต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดผ่านทางอีเมลให้มากยิ่งขึ้น

การตลาดใหม่บน LINE@

สมัยนี้ไม่ว่าช่องทางไหนที่สามารถหารายได้ ก็ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และยิ่งการตลาดบนโลกออนไลน์การแข่งขันค่อนข้างที่จะสูง ยิ่งใครมีหลายช่องทางมากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสในการขายมากเท่านั้น LINE Official Account ก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถหายอดขายไม่แพ้ Facebook เลย

LINE Official Account เป็นแอปพลิเคชันต่อยอดมาจาก LINE ภาพรวมแล้ว 2 อย่างนี้ ฟังก์ชันคล้ายๆ กัน แต่ LINE Official Account สามารถล็อกอินพร้อมกันได้หลายเครื่อง สามารถ Broadcast ข้อความได้ ตอบข้อความ auto-reply ได้เมื่อไม่ว่างตอบ และอีกมากมาย โดยผู้ใช้สร้างบัญชีเพื่อติดต่อสื่อสาร ส่งข้อมูลข่าวสารทั้งในเชิงส่วนบุคคลและเชิงธุรกิจ ที่จะทำให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ถือว่าเป็นช่องทางการทำการตลาดใหม่บน LINE Official Account มาดูข้อดีข้อเสียของแอปพลิชัน LINE@ กันว่ามีอะไรบ้าง

ข้อดี

  1. LINE Official Account ทำให้การส่งข้อความถึงกลุ่มเป้าหมายและรับรู้ข่าวสารได้ง่ายขึ้น
  2. ดูแลจัดการได้สะดวกเพราะเข้าใช้โปรแกรมได้ทางเว็บเบราว์เซอร์ หรือแอปพลิเคชันได้
  3. สามารถคุยกับลูกค้าหรือผู้ติดตามแบบตัวต่อตัวได้
  4. สามารถตั้งค่าข้อมูลของร้านค้า เช่น สถานที่ตั้ง เวลาทำการ เบอร์โทรศัพท์ และอื่นๆ ได้
  5. สามารถดูสถิติผู้ติดตาม จำนวนเพื่อน การบล็อก การคอมเมนต์ การไลก์ใน Timeline ได้ด้วย

ข้อเสีย

  1. หากต้องการใช้บริการส่งข้อความมากกว่า 1,000 ข้อความ ต้องเสียค่าบริการ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
  2. ในการ Broadcast ต้องใช้เวลาซักระยะหนึ่งที่จะส่งถึงผู้ใช้
  3. หาก Broadcast ถี่เกินไป อาจจะทำให้ผู้ติดตามหรือลูกค้าเกิดความรำคาญ และอาจจะบล็อกเราได้

ช่องทางการทำการตลาดใหม่บน LINE Official Account ถือเป็นช่องทางที่น่าสนใจเพราะปัจจุบันแอปพลิเคชันนี้ได้รับความนิยมมาก ใครๆ ต่างก็ใช้ จึงเป็นโอกาสที่จะสร้างและเพิ่มลูกค้าให้กับธุรกิจของคุณเอง และหัวใจสำคัญของการใช้ LINE Official Account คือการตอบลูกค้าเร็ว เพราะเป็นการแสดงถึงความใส่ใจลูกค้า หากตอบช้าอาจจะเสียโอกาสทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไม่ซื้อได้

จัดงานอีเว้นท์ Ford Exclusive

งานอีเว้นท์ Ford Exclusive Trip @ Ocean Marina, Chonburi

จัดงานอีเว้นท์

 

 

 

 

 

 

Ford จัดงาน Exclusive Trip ที่ Ocean Marina, จังหวัดชลบุรี ล่องเรือสำราญ

งานอีเว้นท์

บรรยากาศ แสงยามเย็น ก่อนตะวันจะลับแสง

บริษัทจัดงานอีเว้นท์

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยความสนุก และความอบอุ่น

 

จัดการฐานข้อมูลด้วย MongoDB

องค์กรส่วนใหญ่ มักจะมีข้อมูลจำนวนมาก จึงต้องหาตัวช่วยในการจัดการข้อมูลเหล่านี้ให้เข้าถึงได้ไง และเหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้ผู้ที่ต้องการข้อมูลไม่เสียเวลา เราขอแนะนำตัวช่วยที่ดีอีก 1 ตัวช่วย อย่าง MongoDB

MongoDB คือ Open-Source Document Database รูปแบบหนึ่ง ที่ใช้เป็นฐานของข้อมูลแบบ NoSQL หรือก็คือการไม่มี Relation (ความสัมพันธ์) ของตารางแบบ SQL ทั่วๆ ไปแต่จะใช้วิธีการเก็บข้อมูลให้เป็นแบบ JSON (JavaScript Object Notation) แทน โดยการบันทึกข้อมูลทุกๆ Record ใน MongoDB ซึ่งเราจะเรียกมันว่าเป็น Document ที่จะเก็บค่าเป็น Key และ Value นั่นเอง

การเก็บข้อมูล Document ใน MongoDB นั้นจะถูกเก็บไว้ใน Collections (เปรียบเทียบได้กับ Table ใน Relational Database ทั่วๆ ไป) แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ Collection ไม่จำเป็นที่จะต้องมี Schema เหมือนกันก็สามารถบันทึกข้อมูลได้ นอกจากนั้นใน MongoDB ข้อมูลของ Document ที่เก็บไว้ใน Collection จะมีคีย์ _id ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน Primary Key อยู่ด้วยนั่นเอง

จุดเด่นที่น่าสนใจของ MongoDB นั้นมีหลากหลาย อาทิ

– เก็บข้อมูลแบบ  Document หมายถึงการจัดเก็บข้อมูลแบบมีโครงสร้างและมีหลากหลายมิติ

– รองรับการทำ Full Index ซึ่งช่วยในการ Search หาได้อย่างรวดเร็วกับข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาล

– รองรับการขยายขนาดและรองรับการทำงานหนักๆ

– ทำระบบสำรองได้ง่าย

– เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลแบบโครงสร้าง ดังนั้นเมื่อมีการเรียกข้อมูลมาแสดงก็จะได้ทั้งโครงสร้างและข้อมูลออกมา

– แก้ไขข้อมูลได้รวดเร็ว

– มีการเก็บข้อมูลด้วยระบบ GridFS ซึง่เป็นระบบการเก็บไฟล์บนพื้นที่ Harddisk ที่เก็บข้อมูลเป็นก้อนๆ และรองรับการเพิ่มหรือลดปริมาณข้อมูลได้

จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของ MongoDB นั้นมีหลากหลาย เชื่อได้เลยว่าหากนำ MongoDB ไปใช้ในการจัดการข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กร จะต้องช่วยให้สามารถจัดการธุรกิจได้ง่ายขึ้น และมีเวลาไปพัฒนาในส่วนอื่นๆ ได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

LINE อัปเดตฟีเจอร์

LINE  นอกจากจะเป็น App แชทยอดนิยมแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะใช้ Line ในการ Call หากัน Line จึงทำการ อัปเดตฟีเจอร์ Full HD Voice ให้ LINE Call ไม่สะดุด ปรับเรื่องคุณภาพเสียงในการคุยที่ชัดกว่าเดิมขึ้นไปอีก

วิธีการสังเกตว่าฟีเจอร์นี้ถูกเปิดใช้งานแล้วหรือไม่ คือให้สังเกตตรงคำว่า Full HD Voice ถ้าเป็นสีเขียวแสดงว่าคุณภาพการโทรถูกใช้งานเต็มที่ทั้ง 2 ฝ่าย แต่ถ้าขึ้นเป็นสีเทาแสดงว่าฟีเจอร์ยังไม่ได้เปิดใช้งาน อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายยังไม่อัปเวอร์ชัน หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียรนั่นเอง

ฟีเจอร์การคุยแบบคุณภาพสูงสามารถใช้งานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่ผู้ใช้ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องอัปเดต LINE เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อนจึงจะใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ และสามารถใช้ได้ทั้งใน Iphone และ Android

Web Hosting ช่วยจัดการเว็บไซต์

ฝากข้อมูลบนเว็บไซต์กับ Web Hosting ออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เอาไว้ในระบบเซิร์ฟเวอร์ โดยเซิร์ฟเวอร์จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ให้กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้เข้าชมผ่าน URL ได้ตลอดเวลา

โดยบริการ Web Hosting สามารถแบ่งย่อยๆ ได้ดังนี้

Shared Hosting

เป็นบริการ Web Hosting ที่เหมาะกับการจัดทำเว็บไซต์ทั่วไป เช่น เว็บท่า, เว็บส่วนตัว เว็บขององค์กร เป็นต้น โดยถือเป็นบริการที่ได้รับความนิยมเพราะราคาถูก

Reseller Hosting

เป็นบริการ Web Hosting สำหรับผู้ให้บริการจัดทำเว็บไซต์ โดยผู้พัฒนาเว็บไซต์สามารถจัดสรรแบ่งพื้นที่ให้กับลูกค้าของตนเอง

VPS Hosting

เป็นบริการเซิร์ฟเวอร์เสมือนที่เหมือนกับการมีเซิร์ฟเวอร์เป็นของตัวเอง โดย VPS ย่อมากจาก Virtual Private Server เราสามารถจัดการได้ด้วย Remote desktop หรือ Secure Shell เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูง

Dedicated server

บริการเครื่องเซิร์ฟเวอร์สำหรับเว็บไซต์ของคุณเพียงผู้เดียว โดยอาจใช้งานได้กับหลากหลายเว็บไซต์ที่เราเป็นผู้ดูแล ส่วนมากจะเหมาะสำหรับบริษัทองค์กรขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่ ที่ต้องการความเสถียร ปลอดภัย และรวดเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์

 

สิ่งที่เรากล่าวมาเป็นเพียงบริการหลักของ Web Hosting เท่านั้น ซึ่งการเลือกบริการ Web Hosting นั้น ควรคำนึงเว็บไซต์ของเราและการใช้งานเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องซื้อบริการที่มากเกินความจำเป็น เพื่อประหยัดงบประมาณ และทำให้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

รูปแบบ Web Hosting

หากเราพูดถึงเรื่องการฝากเว็บไซต์ เราคงต้องนึกถึงบริการ Web Hosting ซึ่งจะมีผู้ให้บริการ Server หรือที่รู้จักกันทั่วๆไปคือ Hosting Service Provider ซึ่งเราสามารถเก็บฐานข้อมูล อีเมล บน Web Server ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่จะแสดงผลหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้คนสามารถเข้าชมเว็บไซต์ผ่านโดเมนได้ตลอดเวลา

โดยบริการ Web Hosting ก็มีให้คุณเลือกหลายแบบเลยนะคะ แต่วันนี้เราจะขอแนะนำ 4 Web Hosting ที่ส่วนใหญ่นิยมใช้กันนะคะ

  1. Share Hosting

เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธรรมดาทั่วไปที่เป็นเว็บเดียว เช่น เว็บส่วนตัวบริษัทองค์กร เพราะตัว Share Hosting จะเป็นการแบ่งพื้นที่ในเครื่อง Server มาให้เช่า ดังนั้นภายใน 1 เครื่อง Server ก็จะถูกแชร์กันหลายผู้ใช้งาน ซึ่งราคาไม่สูง ทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้

  1. VPS Hosting

บริการ Sever เสมือน ที่เป็นบริการเหมือนมี Server เป็นของตัวเอง VPS (Virtual Private Server) เหมาะสำหรับเว็บที่ต้องการใช้โปรแกรมเสริมเฉพาะที่ไม่มีในบริการ Share Hosting แถมยังเหมาะกับเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูง เพราะจะถูกแบ่งการใช้งานชัดเจนไม่มีการแชร์ Server เหมือน Share Hosting

  1. Dedicated Server

หากเป็นบริษัท องค์กรขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่  หรือมีการใช้เว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่ต้องการความเสถียร รวดเร็ว และปลอดภัย ต่อการเข้าถึงเว็บไซต์ ต้องเลือกบริการ Dedicated Server เลยค่ะ เพราะเป็นบริการเช่าเครื่อง Server ที่มีแค่บริษัท องค์ของคุณเท่านั้น

  1. Reseller Hosting

เป็น Web Hosting ที่สามารถบริหารจัดการได้ทุกเว็บด้วยระบบการควบคุมเดียว เหมาะสำหรับผู้พัฒนาเว็บไซต์, ผู้จัดทำเว็บไซต์ เพื่อนำไปจัดสรรแบ่งพื้นที่ให้กับลูกค้าที่มาจ้างทำเว็บไซต์ หรือคนที่มีหลายเว็บไซต์จะต้องดูแล Reseller Hosting จะเหมาะกับลักษณะการใช้งานเหล่านี้เลยค่ะ

ซึ่งในการที่เราจะเลือกใช้บริการ Web Hosting ตามการใช้งานให้เหมาะสมแล้ว เรายังจำเป็นที่จะต้องคำนึงด้วยว่าผู้ให้บริการ Hosting นั้นมีการใช้ Web Server ที่มีประสิทธิภาพสูง และมีการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงหรือไม่ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

หากบริษัท องค์กรไหนสนใจใช้บริการเกี่ยวกับ Hosting ไม่ว่าจะเป็น Dedicated Server หรือแม้แต่ Game Hosting ก็สามารถติดต่อสอบถามกับทาง ISPIO ได้เลยที่ 02-639-7744 ต่อ 413 เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคต่างๆ ของระบบรอให้คำปรึกษา และคำแนะนำอยู่นะคะ

Laravel ตอบโจทย์

Laravel คือ PHP Framework รูปแบบ MVC ที่ได้รับความนิยมตัวหนึ่ง ซึ่งถูกพัฒนาโดยทีม Taylor Otwell ที่จะช่วยให้เราสามารถเขียนโค้ดได้แบบสะอาดตา สามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ง่าย แถมยังสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีๆ อีกด้วย

ลักษณะเด่นหลักๆ ของ Laravel คือ

  • Bundle สามารถนำมาใช้กับเว็บแอปพลิเคชันของเราได้เลย ช่วยให้ประหยัดเวลาในการเขียนโค้ด และลดจำนวนการเขียนโค้ด
  • Class Autoloading ระบบจะทำการโหลด Class ของ PHP มาใช้งานอัตโนมัติ โดยไม่ต้องกำหนดค่าการโหลดใช้งานเอง
  • View Composer เป็นส่วนของโค้ด HTML ที่นำมาเรียงต่อกัน และจะทำงานหลังจากประกอบกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
  • สามารถสร้าง Unit testing ขึ้นมาเพื่อทดสอบงานของตนเองได้ผ่านชุดคำสั่ง “artisan”
  • The Eloquent ORM เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการ Query ข้อมูลต่างๆ ในฐานข้อมูล
  • Reverse Routing สามารถกำหนดชื่อของ URL เพื่อชี้ไปยังส่วนต่างๆ ที่ต้องการได้
  • Restful Controller สามารถกรองชนิดการส่งคำร้องขอจากฟอร์มทั้งแบบ Post และ Get
  • The IoC container เป็นส่วนในการจัดเก็บ Library ภายนอกที่เราจะนำเข้ามาใช้

แต่ถึงอย่างไร Laravel ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ มีเครื่องมือที่เยอะ ผู้เริ่มต้นใช้งานใหม่อาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และทำความเข้าใจพอสมควร, Laravel ไม่ใช่ PHP Framework ที่เร็วที่สุด ผู้ใช้งานจึงต้องมีความรู้ในการปรับแต่งระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วยตัวเอง

การใช้งาน Laravel จะไม่ค่อยมีความซับซ้อนมากเท่าไร สามารถติดตั้งเครื่องมืออื่นๆ เสริมเข้าไปได้ ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน อีกทั้งยังรวมไปถึงการใช้ Code PHP เป็นหลักในการเขียน ซึ่งสามารถค้นหาตัวอย่างตามอินเตอร์เน็ตได้ไม่ยาก ถือเป็นเครื่องมือ Framework อีกตัวที่น่าใช้มากๆ เลยทีเดียว

บริการ Colocation

ถ้าอยากได้สัญญา  Internet ที่มีความเร็วสูง และกำลังหาพื้นที่เช่าเพื่อวางเครื่อง Server ของคุณ บริการ Colocation ช่วยตอบโจทย์คุณได้ โดยสามารถตั้งได้ทั้ง PC Tower ธรรมดา, Mini-Tower หรือ Atom ก็ได้ แต่การเลือกใช้งานก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วย

แน่นอนว่าถ้าคุณเลือกใช้บริการ Colocation นั้นจะทำให้เครื่อง Server ของคุณทำงานได้เร็ว และเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะบริการ Colocation มีความเร็วสูงกว่า ADSL Hi-Speed Internet เยอะมาก แถมมีความเสถียรของระบบต่างๆ ซึ่งมันต่างจากการที่คุณไม่ได้ตั้งเครื่อง Server อยู่ในห้อง Internet Data Center แน่นอน ด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระแสไฟที่ไม่คงที่ อุณหภูมิ ไปจนถึงความปลอดภัยต่างๆ ที่มันสามารถเข้าไปรบกวนการทำงานของเครื่อง Server จนเกิดผลกระทบกับงานได้

ดังนั้นหากคุณคิดจะใช้บริการ Colocation สามารถติดต่อเข้ามาปรึกษาเราได้เลย เพราะ ISPIO : Cloud Data Center มีบริการ Colocation ที่ได้มาตรฐาน The Premier Data Center ทั้งระบบไฟฟ้าภายใน Internet Data Center การเตรียมพร้อมเรื่องอุปกรณ์สำรองไฟ ไปจนถึงใส่ใจเรื่องการออกแบบระบบควบคุมอุณหภูมิห้องให้มีทิศทางการไหลเวียนของกระแสลมร้อน และลมเย็นอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเพื่อควบคุมคุณภาพของการให้บริการให้ดีในทุกๆ ด้าน ISPIO : Cloud Data Center จึงคัดสรรเทคโนโลยี ไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้อย่างดีที่สุด เพื่อให้การทำงานของระบบออกมามีประสิทธิภาพนั่นเอง

สามารถดูรายละเอียด และลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้แล้ววันนี้ที่ https://www.ispio.com/