ในช่วงปีที่ผ่านมา GitLab นั้นได้กลายมาเป็นเทรนด์ใหม่ในโลก Opensource ไปแล้ว เพราะมีโครงการดังๆ หลายตัวได้มีการย้ายระบบจัดการ Source Code จากของตัวเอง เปลี่ยนมาเป็นใช้บริการของ GitLab แทน
โดย GitLab เป็น Software ที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Git ซึ่งทำ 2 หน้าที่หลักด้วยกัน นั่นคือ เข้ามาช่วยจัดการเก็บ Source Code ของแต่ละโปรเจค (Git Repository) และจัดการ CI/CD (Continuous Integration and Continuous Delivery) นั่นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว GitLab สามารถทำ และจัดการได้หลายอย่างมาก เช่น
☑ จัดการ Project หรือ Repository
☑ Pipeline, Jobs, Schedules, Environments สำหรับ CI/CD
☑ Graph, Charts สำหรับ Project หรือ Repository
☑ สร้าง Issues เพื่อแจ้งปัญหาต่างๆ
☑ การเขียน Wiki เพื่อเก็บเป็นความรู้ไว้สำหรับโปรเจคนั้นๆ
☑ เปิดหัวข้อสำหรับการพัฒนาความสามารถใหม่ๆ
ซึ่งเหตุผลหลักๆ ที่หลายโครงการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้บริการจากทาง GitLab ก็เพราะว่าตัว Software ของ GitLab มีระบบการจัดการโครงการที่มีความพร้อมทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบจัดการ Source Code ระบบจัดการ BUG ไปจนถึงระบบ Hosting และถึงแม้ว่าระบบจัดการ Source Code ของ GitLab จะมีส่วนคล้ายกับ GitHub ที่หลายคนเคยได้ใช้มาก่อน แต่เพราะภายใน GitLab มีเครื่องมือจัดการด้าน CI/CD ทำให้หลายคนเห็นถึงจุดแตกต่างนั่นเอง
ปัจจุบันทาง GitLab เองก็ได้มีการปรับนโยบายต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งาน Opensource ได้มีความสะดวกมากขึ้น โดยเปิดกว้าง อนุญาตให้เชื่อมต่อกับ Hosting รายอื่นๆ เช่น BitBucket ผ่าน API ได้แล้ว โอกาสนี้เลยทำให้ Opensource ที่อยู่บน GitLab สามารถใช้บริการ CI/CD Free Version ได้ทันที หรือแม้แต่ลูกค้าที่เป็นองค์กรเองก็จะได้รับโอกาสจากการเปิดกว้างของ GitLab ไปด้วย